ดอกไม้สวย

ดอกไม้สวย
สวนดอกไม้

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ผลไม้ล้างพิษ



แอปเปิ้ล ผลไม้ชนิดนี้เปรียบเสมือนไม้กวาด ที่คอยทำความสะอาดลำไส้ ตับ และระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น แถมยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า
องุ่น เวลาที่ทานองุ่นเข้าไปแล้ว จะเหมือนกับเราเอาอวัยวะเข้าอู่ซ่อมยังไงอย่างงั้น เพราะจะช่วยตั้งแต่ล้าง ซ่อม แถมยังบำรุงอวัยวะภายในอีกต่างหาก ที่สำคัญในองุ่นยังมีสารที่ช่วยฟอกล้างผิวหนังให้กระจ่างอีกด้วย
สับปะรด ผลไม้ร้อยตาที่มีเอนไซม์สูงมาก ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น แบ่งเบาภาระการทำงานของกระเพาะอาหารได้ และยังไม่หมดแค่นี้ สับปะรดยังช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยขับน้ำมูกได้เป็นอย่างดี
แตงโม ผลใหญ่ ๆ ที่เนื้อของมันช่วยถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ด้วยการขับออกมาในรูปของปัสสาวะ รวมทั้งยังรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
มะละกอ มะม่วง มีเอนไซม์ชื่อปาเปน ที่มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร จะช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารได้ดี และข้อดีของมะละกอ อีกอย่างคือช่วยลดอาการซึมเศร้าด้วยที่มา
http://women.sanook.com

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

การอ่านหนังสือสอบ


เคล็ดลับสรุปๆการอ่านหนังสือสอบ
แหมเพื่อนคะใกล้สอบกันแล้วใช่ไหมเอ่ย หิหิ แต่บ้างคนยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือเลย 10 เคล็ดลับง่ายๆ รวบรัด

1.ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2.นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3.อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุปไม่เปิดหนังสือ
4.เช็คคำตอบ
5.อ่านอีกหนึ่งรอบ
6.สรุปใหม่เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7.ถ้าทำเป็นMind Mappingจะอ่านง่ายขึ้น
8.มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9.ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆอย่างน้อย 2ครั้ง/คาบ
10.ก่อนวันสอบห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเทียงคืน สมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

ประเมินบล๊อก


เนื้อหาน่าสนใจ 5
ความทันสมัย 4
ความรู้จัดบทความ 5
รายละเอียดของบทความ 5
ความกลมกลืน ความสมดุล 4.5
ความเรียบง่าย ดูแล้วสบายตา 5
***หมายเหตุคะแนนเต็ม 5

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

มมส......ถึงฤดูการสอบแล้วจร้า


ใกล้สอบแล้วขอให้น.ศ.มหาสารคามสอบได้คะแนนเยอะๆๆๆๆๆ
finaiๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจร้า
ขอให้ทุกๆคนมีความสุขกับการสอบน่ะค่ะ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ประเพณีของไทยในหนึ่งปี



เดือนมกราคม ประเพณีวันขึ้นปีใหม่

เดิมประเทศไทยกำหนดให้ วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2432 โดยถือว่าวันที่ 31 มีนาคม เป็นวันสุดท้ายของปีเก่าและวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งมีการจัดฉลองต่อเนื่องกันไปจนถึงวันตรุษสงกรานต์ ต่อมาในปี พ.ศ.2484 ได้เปลี่ยนมากำหนดให้ วันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากล และถือปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้




เดือนกุมภาพันธ์ ประเพญีทำบุญวันมาฆบูชา


"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต"และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์ แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อจะยังพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป




เดือนมีนาคม ประเพณีงานบุญผะเหวด

ประเพณีงานบุญผะเหวด (พระเวส) หรือ "งานบุญเทศน์มหาชาติ" เป็นงานบุญที่สำคัญสำหรับชาวพุทธทั่วประเทศ ทั้งใน ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) และ ภาคใต้ จะจัดขึ้นในราวเดือน11 - 12 หลังออกพรรษาของทุกปีส่วนในภาคอีสาน งานบุญผะเหวดเป็นงานบุญที่สำคัญที่สุดในรอบปีของชาวอีสาน ซึ่งจัดขึ้นในเดือน 4 ของทุกปี(ประมาณเดือนมีนาคม -เมษายน ) ตามจารีตประเพณีที่ทำสืบทอดกันมาแต่โบราณเชื่อกันว่า หากผู้ใดได้ฟังเทศน์ผะเหวด หรือเทศน์มหาชาติจบทั้ง 13 กัณฑ์ (มีกัณฑ์ทศพร,กัณฑ์หิมพานต์,กัณฑ์ทานกัณฑ์,กัณฑ์วนประเวศน์,กัณฑ์ชูชก,กัณฑ์จุลพน, กัณฑ์มหาพน, กัณฑ์กุมาร,กัณฑ์มัทรี,กัณฑ์สักกบรรพ,กัณฑ์มหาราช, กัณฑ์ฉกษัตรย์,
และนครกัณฑ์) ภายในวันเดียวและบำเพ็ญความดีผลบุญที่ผู้นั้นได้กระทำลงไป) จะส่งให้บุคคลนั้นได้ไปเกิดร่วมชาติเดียวกับพระพุทธเจ้า





เดือนเมษายน ปะเพณีสงกรานต์

สงกรานต์ล้านนา หรือ "ประเพณีปี๋ใหม่เมือง" อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ "วันสังขารล่อง" (13 เมษายน)ที่มีการทำความสะอาดบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล "วันเนา"หรือ"วันเน่า"(14 เมษายน)วันที่ห้ามใครด่าทอว่าร้ายเพราะจะทำให้โชคร้ายไปตลอดทั้งปี "วันพญาวัน"หรือ"วันเถลิงศก" (15 เมษายน) วันนี้ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าทำบุญตักบาตรเข้าวัดฟังธรรม ก่อนจะไปรดน้ำดำหัวขอขมาญาติผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย "วันปากปี"(16 เมษายน) ชาวบ้านจะพากันไปรดน้ำเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆเพื่อขอขมาคารวะ และ "วันปากเดือน"(17 เมษายน) เป็นวันที่ชาวบ้านส่งเคราะห์ต่างๆออกไปจากตัวเพื่อปิดฉากประเพณีสงกรานต์ล้านนา





พฤษภาคม วิสาขบูชา"วิสาขะ" เเปลว่า เดือนที่ ๖ หรือ เรียกว่า "วิสาขมาส"ในรัชกาลที่สอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดเกล้าให้ทำพิธี ถวายพระพร เนื่องในวันวิสาขบูชา เป็นครั้งเเรกเมื่อ พศ 2360 (ในราชวงศ์รัตน์โกสินทร์ตอนต้น), ซึ่งเป็นประเพณีนิยมของชาวไทย มาครั้งตั้งเเต่ในสมัยกรุงสุโขทัย ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ นี้ ชาวบ้านร่วมกันประดับตกเเต่งบ้านเรือน เเละ วัดวาอาราม ด้วยโคมไฟ พู่กลิ่น พวงดอกไม้สด พวงดอกไม้เเห้งเเละจุดเทียนสว่างไสว



มิถุนายน หล่อเทียนพรรษาก่อนเข้าพรรษา ๑ เดือน ประมาณเดือน ๗ ชาวบ้านจัดการเรี่ยไรขึ้ผึ้ง เเละ ร่วมกันทำพิธีหล่อเทียน เเละ เเกะสลัก ปิดทองอย่างสวยงาม เเห่ขบวน เทียนประกวดเเข่งขันกันสนุกสนาน ในสมัยหรุงัตนโกสินทร์ มีพระราชพิธี ถวายเทียนพรรษาไปตามพระอารามหลวงที่สำคัญๆ ซึ่งได้ปฏิบัติสืบทอด มาจนปัจจุบัน เเละ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีผลไม้ต่างๆ ออกผลบริบูรณ์มาก จึงจัดให้มีงานบุญสลากภัต ไปถึงวันเข้าพรรษา





กรกฎาคม เข้าพรรษา
พรรษา เเปลว่า ฝน หรือ ฤดูฝน ฤดูเข้าพรรษาเริ่มต้นเเต่วันเเรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ราวกลางเดือนกรกฎาคมของทุกๆปี จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ รวมเป็นเวลา ๓ เดือน เรียกว่า ไตรมาส ตลอดเวลาเข้าพรรษานี้ ชาวบ้าน ตั้งใจละเว้นอบายมุขทั้งปวง ทำจิตใจให้ผ่องเเผ้ว เยือกเย็น เป็นการสร้าง กุศลซึ่งพระราชพิธีกุศล เข้าพรรษาถือ เป็นพระราชพิธีเเห่งราชสำนัก มาตั้งเเต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สืบเนื่องมา
จนปัจจุบัน



สิงหาคม โกนจุก"โกนจุก" เป็นประเพณีไทยเเต่โบราณ เมื่อเด็กอายุครบเดือนได้ทำขวัญเดือนเเละโกนผมไฟ เมื่อผมมีผมขึ้นใหม่ก็จะเอารัดจุกไว้ตรงกลางศีรษะทำทั้งเด็กหญิงเเละชาย, ซึ่งมีความหมายว่าเด็กที่มีผมจุกนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ก็จะได้รับความเมตตากรุณาตามสภาวะที่เป็นเด็ก เมื่อเด็กผู้หญิงอายุได้ ๑๑ ปี เเละ เด็กผู้ชาย ๑๓ ปีบิดามารดาก็จะจัดงาน เเละตัดผมจุกออก หรือ ปล่อยผมลงมาเรียกว่า พิธีโกนจุก ซึ่งหมายความ ว่า เด็กนั้นได้เติบโตย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เเล้ว




กันยายน สารท "สารท" เเปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง ประเพณีทำบุญในวันสารทนี้ กำหนดตรงสิ้นเดือน ๑๐ ชาวบ้านจะนำโภชนาหาร ทานวัตถุในพิธี เช่น ข้าวมทุปายาท ข้าวยาคู ข้าวทิพย์ กระยาสารท เเละ กล้วยไข่ ซึ่งพอดีเป็นหน้ากล้วยไข่สุก ไปตักบาตรธารณะ เสร็จเเล้วก็จะเเจกจ่าย ให้ปันกระยาสารทที่เหลือเเก่เพื่อนบ้านพิธีสารทเป็นระยะที่ต้นข้าวออกรวง เป็นน้ำนม จึงจัดทำพิธีขึ้นเพือเป็นการรับขวัญรวงข้าวเเละ เป็นฤกษสิริมงคล เเก่ต้นข้าวในนาอีกด้วย ข้าวมทุปายาท ซึ่งทำจากข้าวที่เป็นน้ำนมข้างใน ซึ่งจำได้จากการเรียนวิชาศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเสวยข้าวมทุปายาท ก่อนที่จะตรัสรู้




ตุลาคม เทศกาลทอดกระฐิน ประเพณีทอดกระฐินนี้ได้ถือปฏิบัติมาตั้งเเต่สมัยกรุงสุโขทัย เเละสืบทอด มาถึงปัจจุบัน ระยะเวลาที่ให้มีการทอดกระฐิน คือ ตั้งเเต่วันเเรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ เทศกาลทอดกระฐินเป็นงานรื่นเริง ของชาวบ้านในโอกาสที่จะได้ทำบุญควบคู่ไปกับความสนุกสนานด้วยเป็นระยะที่หว่าน เเละ ดำข้าวเเล้ว อีกไม่ช้าก็จะเก็บได้ จึงเป็นช่วงที่ จะได้พักผ่อนก่อนงานเก็บเกี่ยว การเลือกไปทอดกระฐินที่ต่างถิ่น เพือเป็นการท่องเที่ยวเยี่ยมเยียน เเละ เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย ซึ่งเปิดโอกาศให้ผู้เข้าร่วมได้ ไปเปิดหูเปิดตา ได้เรียนรู้จักคนใหม่ๆ เเละ ได้เที่ยวในสถานที่อื่นด้วย



พฤศจิกายน ลอยกระทง ลอยกระทง คือวันเพ็ญเดือน ๑๒ ฤดูน้ำหลาก อากาศ ปลอดโปร่งเเจ่มใส ด้วยหมดฤดูฝนเเล้ว ชาวบ้านได้ประดิษฐ์ประดอยกระทงด้วยใบตอง ตกเเต่งด้วยดอกไม้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ผู้คนก็เเต่งกายสวยงามเเละนำกระทงออกไปด้วย จุดธูปเทียนในกระทงสว่างสวยงาม ลอยไปตามลำน้ำอย่างสวยงาม เพื่อเป็นการขอขมาต่อพระเเม่คงคา จุดประสงค์ของประเพณีลอยกระทงก็คือ เปิดโอกาศให้ประชาชนได้นึกถึง พระคุณของน้ำ เเละขออภัย พระเเม่คงคาที่ตนได้ใช้น้ำมาตลอด ในการดำรงชีพของตน ในช่วงนี้เป็นช่วงที่อุดมสมบูรณ์ หน้าข้าว หน้าปลา จะเห็นผู้คนส่วนใหญ่พูดกันว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว หรือมีข้าวในนา มีปลาในหนอง ชาวบ้านควรจะทำบุญให้ทาน เเละพักผ่อน สนุกสนาน กันเสียทีหนึ่ง


ธันวาคม ตรุษ เลี้ยง ขนมเบื้องขนมเบื้อง คืออาหารชนิดหนึ่งที่มีใส่ใส้ด้วยกุ้ง พิธีเลี้ยงขนมเบื้อง เดือนอ้าย นับเป็นตรุษอย่างหนึ่ง เฉพาะต้องเป็น หน้าหนาว ตรุษเลี้ยงขนมเบื้องจะต้องเป็นฤดูหนาว เป็น เวลา ที่น้ำลดมีกุ้งชุกชุมเเละ ยังเป็นฤดูที่กุ้งมีมันมากน่า จะทำขนมเบื้องไส้กุ้ง เเต่ก่อนนั้นการละเลงขนมเบื้องนี้นับเป็นคุณสมบัติที่ได้รับความนิยมชมเชยด้วย อย่างหนึ่งของหญิงสาวในความสามารถ ถึงในสมัย รัชกาลที่ ๔ ยังถือกันว่าหญิงใดละเลงขนมเบื้องได้ จีบขนมจีบได้ ปอกมะปรางริ้วได้จีบใบพลูได้ยาว คนนั้นมีค่าถึง ๑๐ ชั่ง ในสมัยนั้น ๑๐ ชั่ง = 800 บาท, ซึ่งหมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นมีคุญสมบัติที่ดี















ระบบนิเวศ




ระบบนิเวศ หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต ในแหล่ง ที่อยู่อาศัย ณ ที่ใดที่หนึ่ง ความสัมพันธ์มี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต และระหว่าง สิ่งมีชีวิต กับสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง โดยมีการถ่ายทอดพลังงาน และสารอาหารในบริเวณนั้นๆ สู่สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศแบ่งออกเป็น 2 ประเภท1. ระบบนิเวศบนบก (Terrestial Ecosystems)

2. ระบบนิเวศในน้ำ (Aquatic Ecosystems)


องค์ประกอบในระบบนิเวศองค์ประกอบในระบบนิเวศ ประกอบด้วย 2 ส่วน


1. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต (Abiotic Component) - อนินทรียสาร ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน น้ำ และคาร์บอน - อินทรียสาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฯลฯ - สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ แสง ความเป็นกรด เป็นด่าง ความเค็มและ ความชื้น


2. ส่วนประกอบที่มีชีวิต (Biotic Component) ได้แก่ - ผู้ผลิต (producer) - ผู้บริโภค (consumer) - ผู้ย่อยสลาย (decompser) ผู้ผลิต (Producer) คือสิ่งมีชีวิต ที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ มาสังเคราะห์อาหารขึ้นได้เอง ด้วยแร่ธาตุและสสาร ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ พืชสีเขียว แพลงค์ตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด ผู้บริโภค (Consumer) คือสิ่งมีชีวิตที่กินสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นอาหาร แบ่งได้เป็น - สิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร (Herbivore) เช่น วัว ควาย กระต่าย และปลาที่กินพืชเล็กๆ ฯลฯ

สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ





สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ


ปัญหามลพิษที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมีมากมาย มิใช่แต่เพียงมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ หรือทางดินที่เรารู้จักกันดีเท่านั้น การที่สภาวะแวดล้อมของเราเปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นของการพัฒนาบ้านเมือง ซึ่งจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้นั้น หากมิได้มีการวางแผนอย่างถี่ถ้วนรัดกุม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอาจกลายเป็นปัญหามลพิษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้คนได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับเมืองเรา คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานครได้ก่อให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมอย่างมากมาย จนกระทั่งบางเรื่องอาจลุกลามใหญ่โตจนไม่สามารถแก้ไขได้ในสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเรา การที่เมืองขยายออกไป ผืนดินที่ใช้ทางการเกษตรที่ดีก็ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งเป็นที่ลุ่มกลับกลายเป็นแหล่งชุมชน คลองเพื่อการระบายน้ำถูกเปลี่ยนแปลงเป็นถนนเพื่อการคมนาคม แอ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำถูกขจัดให้หมดไปด้วยสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เมื่อถึงหน้าน้ำหรือเมื่อฝนตกใหญ่ กรุงเทพมหานครจะประสบปัญหาน้ำท่วมทุกครั้ง น้ำท่วมก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมาย เริ่มต้นด้วยโรคน้ำกัดเท้า และต่อไปก็อาจเกิดโรคระบาดได้


ปัญหาขยะก็เป็นมลพิษที่สำคัญอีกประการหนึ่ง หากเมืองใหญ่ขึ้น ผู้คนมากขึ้น ของทิ้งก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดา การเก็บขยะให้หมดจึงเป็นปัญหาสำคัญของเมืองใหญ่ ๆ ต่าง ๆ หากเก็บขยะไปไม่หมด ขยะก็จะสะสมหมักหมมอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นที่เพาะเชื้อโรค และแพร่เชื้อโรค ทำให้เกิดลักษณะเสื่อมโทรมสกปรก นอกจากนี้ ขยะยังทำให้เกิดมลพิษทางน้ำ เมื่อมีผู้ทิ้งขยะลงไปในน้ำ การเน่าเสียก็จะเกิดขึ้นในแหล่งนั้น ๆ




การจราจรที่แออัดนอกจากเกิดปัญหามลพิษทางอากาศแล้วยังมีปัญหาในเรื่องเสียงติดตามมาด้วย เพราะยวดยานที่ผ่านไปมาทำให้เกิดเสียงดังและความสะเทือน เสียงที่ดังเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ บางคนดัดแปลงยานพาหนะของตนไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ทำให้เสียงดังกว่าปกติ โดยนิยมกันว่าเสียงที่ดังมาก ๆ นั้นเป็นของโก้เก๋ คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าตนกำลังทำอันตรายให้เกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น เสียงที่ดังเกินขอบเขตจะทำให้เกิดอาการทางประสาท ซึ่งอาจแสดงออกเป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือทางอารมณ์ เช่น เกิดอาการหงุดหงิด ใจร้อนควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เป็นต้น นอกจากนี้เสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้เกิดความเสื่อมกับอวัยวะในการรับเสียงอีกด้วย ผู้ที่ฟังเสียงดังเกินขอบเขตมาก ๆ จะมีลักษณะหูเสื่อม ทำให้การได้ยินเสื่อมลง เป็นต้น


ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์








ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์




เป็นหลักการพื้นฐานของการตรวจสอบและเสาะหาความรู้ใหม่แบบวิทยาศาสตร์ ที่ใช้หลักฐานทางกายภาพ นักวิทยาศาสตร์เสนอความเชื่อใหม่เกี่ยวกับโลกในรูปของทฤษฎีที่ผ่านขั้นตอนของ การสังเกต, การตั้งสมมติฐาน, และการอนุมาน ผลการทำนายของทฤษฎีเหล่านี้จะถูกทดสอบด้วยการทดลอง ถ้าผลการทำนายนั้นถูกต้องหรือสอดคล้องกับการทดลอง ทฤษฎีดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ ทฤษฎีที่ความน่าเชื่อถือจะถูกนำไปทดลองซ้ำเพื่อยืนยันความถูกต้องเพิ่มเติม ระเบียบวิธีนี้ถูกจัดให้เป็นตรรกะสำคัญของธรรมเนียมปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ โดยสาระสำคัญนั้นระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์คือวิธีการที่รอบคอบมาก สำหรับสร้างความเข้าใจ ที่มีหลักฐานและยืนยันได้เกี่ยวกับโลก





หมายถึง มาตรการการป้องกันไม่ให้มีเหตุ และติดตามกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ รวมทั้งมาตรการในการตอบโต้ เมื่อมีการก่อการร้ายเกิดขึ้น ส่วนมากบทบาทของหน่วยรบพิเศษ จะอยู่ในรูปแบบของการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการจับตัวประกันโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มีข้อเรียกร้องทางการเมืองระหว่างประเทศ และข้อเรียกร้องด้านชาติพันธุ์ ศาสนา

การลาดตระเวนพิเศษ

เป็นการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจโดยหน่วยรบพิเศษโดยลำพังหรือ ผ่านทางกำลังกองโจร วัตถุประสงค์เพื่อการยืนยัน ปฏิเสธข่าวสาร สมมติฐานที่ได้มาก่อน ด้วยการตรวจการณ์ หรือวิธีการรวบรวมอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับขีดความสามารถ เจตนารมณ์ และการปฏิบัติ ของข้าศึกหรือที่มีแนวโน้มจะเป็นข้าศึก การปฏิบัติการลาดตระเวนพิเศษอาจจะเกิดขึ้นเพื่อความต้องการการลาดตระเวนทางนิวเคลียร์ ชีวเคมี หรือเพื่อหาข้อมูลด้านอุตุนิยม อุทกศาสตร์ ภูมิประเทศ ในพื้นที่หนึ่ง



วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

หลักการออกแบบเว็ปไซต์


1. ต้องอ่านง่ายสบายตา (Read Ability) ตัวหนังสือที่เราใช้นั้นต้องไม่เล็กเกินไปหรือไม่ใหญ่เกินไป (ปัจจุบันมีการใช้ CSS Style เพื่อกำหนดให้กับขนาดหรือสีของตัวอักษรแบบตายตัว)และควรใช้สีที่ตัดกับแบ็คกราว เช่นแบ็คกราวสีขาวไม่ควรใช้สีเขียวอ่อน,เหลือง หรือสีอื่นที่อ่อนๆจางๆ
2. โหลดไม่ช้าหน้าไม่ยาว (Fast Load) ส่วนนี้สำคัญนะครับ ถ้าคุณทำเว็บออกมาแล้วโหลดช้ามากก็จะทำให้ลูกค้าหันไปดูเว็บอื่นรอหรือร้ายกว่านั้นปิดเว็บของเราไปเลยก็ได้ แต่ก็อย่างว่านะครับ Internet ประเทศไทยยังไม่พัฒนาเลยช้านิดหน่อย ถ้าช้าแบบพอทนได้ก็รอกันต่อไป ส่วนที่ว่าหน้าไม่ยาวนั้นคือ เว็บบางเว็บ(ส่วนใหญ่จะเป็นเว็บพอทอล เช่น hunsa,sanook) จะทำหน้าที่ยาวมาก กว่าจะเลื่อนสกอลบาร์ลงไปถึงเลื่อนเม้าเลื่อกลูกกลิ้งกันจนจะสุดโต๊ะ(เว่อไป!..) เอาเป็นว่า จะให้ดีไม่ควรยาวเกิน 3 หน้าจอครับ
3. อัพเดทข่าวให้บ่อย (Update) ส่วนนี้เป็นจุดเชิดชูของเว็บเลยนะครับ ผมขอร้องเลยครับว่าถ้าทำเว็บแล้วอย่าทำครั้งเดียวทิ้ง ขอให้ทำแล้วทำตลอดไปเรื่อยๆเลยครับ (พวกทำครั้งเดียวแล้วไม่อัพเดทน่าจะเหมาะกับทำเว็บแนวประวัติของตัวเองมากกว่า) เพราะผมเข้าไปหลายเว็บตามเว็บสมัครเล่นมีประมาณ 60% เลยครับที่ทำแล้วปล่อยทิ้งไว้ไปดูกี่ทีกี่ครั้ง Last Update ก็ยังอยู่ที่ 02/06/1999 เจออย่างงี้ก็น่าเบื่อนะครับ ผมขอแนะนำว่า ถ้าจะให้ดีข้อมูลควร update ทุกๆ 2 - 3 วันต่อครั้ง หรือ 1 อาทิตย์ครั้ง หรือ 15 วันครั้ง หรือถ้าเดือนละครั้งอันนี้ก็ไม่ไหวนะครับ แต่ถ้าท่านไม่มีเวลาจะ update จริงๆ ควรจะเขียนกล่าวไว้ที่หน้าเว็บว่าจะงด update ชั่วคราวเพื่อจะได้ไม่เสีย creadit ของตัวเองครับ และให้ลูกค้าติดตามมาดูบ่อยๆด้วย
4. อย่าปล่อยให้มีคำผิด (Good Spelling) ถ้าท่านทำเว็บมาแล้วปล่อยให้มีคำผิดขึ้นมายิ่งเป็นข้อความใหญ่ๆแล้วด้วยจะทำให้เว็บเราดูด้อยไปเลยครับจะดูเหมือนกับว่า webmaster เว็บนั้นไม่เป็นมือโปรเลย แต่สำหรับคำผิดเล็กๆน้อยๆ ตามบทความถ้าท่านมีเยอะจนไม่สามารถตรวจสอบได้ทุกหน้าก็พออนุโลมได้ครับ
5. ทุกทิศมีที่ไป (Navigation Bar) การหลงในเว็บเพจหงุดหงิดกว่าการเดินหลงในห้างอีกนะครับ เพราะในเว็บมันไม่มีอะไรให้ดูนอกจากหน้าจอ และก็เสียเวลามากกว่า และรู้สึกว่าตัวเองโง่ไปถนัดตาเลยว่าทำไมกะอีแค่เว็บๆเดียวทำเราวุ่ววายไปหมด ดังนั้นทุกหน้าเราต้องมีเมนูไปกลับหน้าแรกและหน้าอื่นๆติดอยู่เสมอ เพื่อความสะดวกของลูกค้า
6. เครื่องหมายมีให้ติดตาม (Use Sign) ภาพหนึ่งภาพแทนความหมายได้พันคำ การใช้เครื่องหมายที่ง่ายต่อความเข้าใจ เช่น "ลูกศร" ที่จะนำทางให้คุณคลิ้กเพื่อไปดูรายละเอียดในหน้าถัดไป เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถทำให้ลูกค้ารู้ว่า คุณกำลังจะบอกอะไรกับเขา
7. ทุกคำถามต้องมีคำตอบ (FAQ) แม้คุณจะบอกว่า เว็บไซต์ของคุณ ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่ายเท่าใดก็ตาม แต่เชื่อผมเถอะว่าลูกค้ามีคำถามในใจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าคุณตอบได้ทันที ลูกค้าจะรู้สึกแฮปปี้และประทับใจในบริการของคุณ การใส่ FAQ เข้าไปในไซต์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการด้วยตัวเองได้ จะช่วยให้ลูกค้าไม่ลังเล และตัดสินใจเป็นลูกค้าของคุณได้ง่ายดายขึ้น ซึ่งในส่วนของ FAQ นี้ก็จะมีทั้งคำถามคำตอบในเรื่องของการท่องไซต์ เพื่อจะได้เข้าถึงบริการส่วนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ยิ่งในเว็บที่เกี่ยวกับ E-commerce
8. ทุกคำชอบต้องมีโชว์ (Testimonial) คำชมจากลูกค้านั้นมีความหมายและมีความสำคัญมาก มันคือตัวที่แสดงถึงความเชื่อใจ และสร้าง Creadit ให้เราได้มากกว่าการที่เราจะมานั่งชมมตัวเอง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้น่าจะเอามาโชว์เพื่อให้ลูกค้าคนอื่นเห็นและเกิดความมั่นใจ ยิ่งในเว็บที่เกี่ยวกับ E-commerce
9. เบอร์โทรชัดไม่ขัดตา (Logo, Brand Name & Tel No.) ตัวนี้ไม่ใช่แค่เบอร์โทรอย่างเดียวนะครับ มันรวมไปถึงข้อมูลที่ใช้ติดต่อเราทั้งหมด ไม่ว่าจะ เบอร์โทร E-mail ICQ logo แผนที่ หรืออื่นๆ เราควรจะโชว์ให้ชัดเจนและเป็นจริงที่สุดเพื่อการติดต่อกลับที่สะดวกหรือเป็นไปได้ให้ติดตั้งสคิ้ปในการติดต่อกลับแบบอัตโนมัติก็จะทำให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
10. เพื่อลูกค้าใช้อ้างอิง (Reference Address) การที่คุณใส่ที่อยู่ที่ติดต่อได้เข้าไปที่ด้านท้ายของทุกเว็บเพจ ช่วยสร้างโอกาสธุรกิจให้กับคุณได้ ทำไมหรือครับ เพราะนอกจากลูกค้าจะจำได้ว่า ที่ติดต่อหรือธุรกิจของคุณอยู่ที่ไหน เขาก็จะไม่ต้องทำได้ทันที นอกจากนี้ เวลาที่ลูกค้าพิมพ์เว็บเพจของคุณออกไป ที่อยู่ที่ติดต่อเหล่านี้ก็จะติดไปด้วย ซึ่งหากเป็นการส่งต่อเอกสารนั้นให้กับผู้อื่น คุณก็จะได้กลุ่มเป้าหมายที่สามารถติดต่อคุณได้ทันทีโดยไม่ต้องออนไลน์ เพื่อค้นหาข้อมูลติดต่อให้วุ่นวายแต่อย่างใด (เช่นเว็บ 2capsule ถ้าท่านต้องการ Print บทความก็จะมี logo และ URL ติดอยู่ เพื่อการโปรโมตไปในตัว) จะเหมาะกับเว็บแนว E-Commerce มากๆ
11. ทุกอย่างต้องหาได้ (Search) หากเว็บคุณเป็นเว็บขายสินค้าหลายๆประเภทหรือมีบทความหลายๆเรื่องแล้วหละก็ ขาดไม่ได้เลยครับสำหรับเครื่องมือที่ที่ไว้สำหรับ Search ในเว็บของเราเอง เพื่อการค้นหาที่สะดวกขึ้นและ ลดระยะเวลาของลูกค้าไปในตัวด้วย
ทุกอย่างง่ายทำได้เอง (Help) ส่วนนี้จะค้ลายๆกับ FAQ แต่ว่ามันจะเป็นส่วนที่สอนการใช้งานของเว็บของคุณ ยิ่งเว็บของคุณมีระบบเยอะก็จำเป็นที่จะต้องมี Comment หรืคำแนะนำในการใช้ทุกจุด เพื่อความไม่ผิดพลาดของลูกค้า
12. ท่องไซต์ให้ครื้นเครง (Fun Stuff) การใส่ลูกเล่นที่น่าสนใจ หรือสอดแทรกความสุกสนานบางอย่างเข้าไปในไซต์ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ผมก็คิดว่า คุณน่าจะสันหามาใส่เข้าไปในไซต์ของคุณ บนอินเทอร์เน็ตจะมีหลายๆ ไซต์ที่ให้บริการ การ์ตูนฟรี เรื่องขำขันฟรี คุณสามารถทำลิงก์เพื่อไปดึงเนื้อหาเหล่านี้มาปรากฎในไซต์ของคุณได้ เพื่อให้ยูสเซอร์ไม่รู้สึกว่าไซต์ของคุณเน้นวิชาการจนเกินไป
13. ต้องเกรงใจลูกค้าเรา (Friendly Dialog) การเกรงใจในที่นี้หมายถึงการใช้คำพูดในเว็บ ควรใช้ให้เหมาะสม และเป็นกันเองที่สุดหรือสากลที่สุด เพื่อการติดต่อสื่อสารที่ง่าย และเป็นมิตร ยิ่งใน E-Commerce ถ้าลูกค้าเป็นมิตรกับเรา เขาก็ย่อมจะเลือกซื้อสินค้าของเรามากกว่าเว็บอื่นที่ไม่เป็นมิตร
14. ลดขนาดภาพให้เล็กสวยคงเดิม (Fix Image Size) การลดขนาดของรูปในที่นี้ผมไม่ได้หมายความว่า ให้เอารูปขนาด 500 x 500 มาย่อในโปรแกรมเขียนเว็บให้เลือก 200 x 200 นะครับ เพราะการย่อแบบนั้น มันย่อให้รูปที่เราเปิดดูเล็กลงได้จริงแต่ขนาดหรือ Size นั้นก็ยังเท่าเดิม เวลาโหลดก็โลหดนานเท่าเดิมดังนั้นมันจะไม่ช่วยอะไรขึ้นมาเลย แต่สิ่งที่ผมจะบอกคุณคือ ให้ย่อขนาด หรือลดขนาดของภาพโดยใช้โปรแกรมพวก Photoshop หรือโปรแกรมเกี่ยวกับการแต่งภาพอื่นๆ เพราะการย่อขนาดในนั้นจะช่วยทำให้ภาพของคุณลดขนาดตามไปด้วย แต่การลดขนาดนั้นคุณก็ต้องมีความรู้ทางโปรแกรมกราฟฟิกนั้นไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเราต้องลดขนาดรูปให้ได้เยอะที่สุดแต่ยังสวยคงเดิม(คงเคยเห็นนะครับ รูปที่ ขนาด 50KB กับ 45KB สวยเหมือนกัน เพราะคนที่ย่อขนาดนั้นมีความสามารถพอครับ) แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมออกมาเพื่อการลดขนาดของรูปโดยเฉพาะ ซึ่งผมจะนำมาให้ download กัน ลองติดตามนะครับ
15.เรื่องของ Tag เปิดบ่อยๆ (Open tag) Tag ใน HTML นั้น มันจะแสดงออกมาก็ต่อเมื่อมันอ่านเจอ Tag ปิด ดังนั้นให้คุณเขียนเว็บแล้วเปิด ปิด Tag บ่อยๆเพื่อความเร็วในการแสดงผลครับ
16. Link ผิดต้องอย่าปล่อย (Link Break) เมื่อทำเว็บเสร็จแล้ว พยายามตรวจสอบ link ให้แน่ใจว่าจะไม่ผิดพลาด แต่บางครั้งที่คุณ link ไปเว็บอื่นแล้วเขา ปิดเว็บลงไปแล้วก็ช่วยไม่ได้นะครับ คุณต้องลองติดตามดูบ่อยๆ
17. ลดขนาด file เว็บเรา ( Fix File Size) ขนาดของ file html นั้นแต่ก่อนไม่ค่อยมีการออกเว็บเท่าไรจึงมีขนาดไม่เกิน 20 -30 kb แต่ปัจจุบันมีการเล่นสคิ้ปและรูปแบบและเนื้อหามากขึ้น ขนาดจึง ไปอยู่ที่ 70 - 150 kb แต่ตามความคิดผมไม่ควรจะเกิน 50 - 80 kb ครับ เพราะยิ่งมากก็ยิ่งช้า เหมือนกับเรากำลัง download file ชนิดหนึ่งที่มีขนาด 100 kb คุณว่านานไหมล่ะ(แค่ตัวหนังสือไม่รวมรูปหรืออื่นๆนะ) แต่ถ้าจำเป็นก็ไม่เป็นไรครับ เพราะปัจจุบัน เรื่องของ Internet เร็วพอสมควร

ที่มา : http://www.sanambin.com/

หลักการออกแบบสื่อนำเสนอ



1. ความเรียบง่าย: จัดทำสไลด์ให้ดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น ใช้สีอ่อนเป็นพื้นหลังเพื่อไม่รบกวนสายตาในการอ่าน และสามารถเห็นเนื้อหาได้อย่างชัดเจน หรือใช้พื้นหลังตามลักษณะเนื้อหา
2. มีความคงตัว (consistent): เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหาในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร แต่หากต้องการเน้นจุดสำคัญ หรือเป็นเนื้อหาย่อยออกไปจะสามารถเปลี่ยนบางสิ่ง เช่น สีตัวอักษรในสไลด์ให้ดูแตกต่างไปได้บ้าง หรืออาจมีการเปลี่ยนสีพื้นหลังให้แตกต่างจากเนื้อหาสักเล็กน้อยก็อาจทำได้เช่นกัน
3. ใช้ความสมดุล: การออกแบบส่วนประกอบของสไลด์ให้มีลักษณะสมดุลมีแบบแผน (formal balance) หรือสมดุลไม่มีแบบแผน (informal balance) ก็ได้ แต่ต้องระวังสไลด์ทุกแผ่นให้มีลักษณะของความสมดุลที่เลือกใช้ให้เหมือนกันเพื่อความคงตัว
4. มีแนวคิดเดียวในสไลด์แต่ละแผ่น: ข้อความ และภาพที่บรรจุในสไลด์แผ่นหนึ่งๆ ต้องเป็นเนื้อหาของแต่ละแนวคิดเท่านั้น หากเนื้อหานั้นมีหลายแนวคิด หรือเนื้อหาย่อยต้องใช้สไลด์แผ่นใหม่
5. สร้างความกลมกลืน: ใช้แบบอักษรและภาพกราฟิกให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหา ใช้แบบอักษรที่อ่านง่าย และใช้สีที่ดูแล้วสบายตา เลือกภาพกราฟิกที่ไม่ซับซ้อน และให้ถูกต้องตรงตามเนื้อหา รวมถึงให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการด้วย
6. แบบอักษร: ไม่ใช้อักษรมากกว่า 2 แบบในสไลด์เรื่องหนึ่ง โดยใช้แบบหนึ่งเป็นหัวข้อ และอีกแบบหนึ่งเป็นเนื้อหา หากต้องการเน้นข้อความตอนใดให้ใช้ตัวหนา (bold) หรือตัวเอน (italic) แทนเพื่อการแบ่งแยกให้เห็นความแตกต่าง
7. เนื้อหา และจุดนำข้อความ: ข้อความในสไลด์ควรเป็นเฉพาะหัวข้อ หรือเนื้อหาสำคัญเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดของเนื้อหา และควรนำเสนอเป็นแต่ละย่อหน้า โดยอาจมีจุดนำข้อความอยู่ข้างหน้า เพื่อแสดงให้ทราบถึงเนื้อหาแต่ละประเด็น และไม่ควรมีจุดนำข้อความมากกว่า 4 จุดในสไลด์แผ่นหนึ่ง โดยสามารถใช้ต้นแบบสไลด์ที่มีจุดนำข้อความใน Auto Layout เพื่อเพิ่มจุดนำข้อความให้ปรากฏขึ้นหน้าข้อความแต่ละครั้งเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับฟังการนำเสนอ อาจจะใช้การจางข้อความ (dim body text) ในข้อความที่บรรยายไปแล้วเพื่อให้มีเฉพาะจุดนำข้อความ และเนื้อหาที่กำลังนำเสนอเท่านั้นปรากฏแก่สายตา
8. เลือกใช้กราฟิกอย่างระมัดระวัง: การใช้กราฟิกที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่มการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล แต่หากใช้กราฟิกที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาจะทำให้การเรียนรู้นั้นลดลง และอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้
9. ความคมชัด (resolution) ของภาพ: เนื่องจากความคมชัดของจอมอนิเตอร์มีเพียง 72-96 DPI เท่านั้น ภาพกราฟิกที่นำเสนอประกอบในเนื้อหาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก ควรใช้ภาพในรูปแบบ JPEG ที่มีความคมชัดปานกลาง และขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประมาณ 20-50 KB ซึ่งท่านควรทำการบีบอัด หรือcompress และลดขนาดภาพก่อนเพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ในการเก็บบันทึก และการจัดส่งไฟล์ผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e- mail) หรือการอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์จะสามารถทำได้ไวยิ่งขึ้น
10. เลือกต้นแบบสไลด์ และแบบอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ร่วม: เนื่องจากการนำเสนอต้องมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ร่วม เช่น เครื่องแอลซีดี หรือโทรทัศน์เพื่อเสนอข้อมูลขยายใหญ่บนจอภาพ ดังนั้น ก่อนการนำเสนอควรทำการทดลองก่อนเพื่อให้ได้ภาพบนจอภาพที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะว่าเมื่อฉายแล้วเสี้ยวซ้ายของสไลด์จะไม่ปรากฏให้เห็นตามหลักของอัตราส่วน 4:3
ที่มา
[1] http://supanida-opal.blogspot.com/2008/06/blog-post_672.html

ประโยชน์ของดอกทานตะวัน




แต่เดิมทานตะวันเป็นเพียงไม้ดอกไม้ประดับเท่านั้น ต่อมาได้นำเมล็ดมาเป็นของขบเคี้ยว และสกัดเป็นน้ำมัน จึงทำให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญพืชหนึ่ง การใช้ประโยชน์จากทานตะวันมีหลายลักษณะดังนี้
1. เมล็ด ใช้บริโภคโดยตรง เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ได้ในเมล็ดมีธาตุเหล็กสูงไม่แพ้ธาตุเหล็กจากไข่แดงและตับสัตว์เมื่อบดทำแป้งจะได้แป้งสีขาว มีไขมันสูง มีโปรตีนมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณแป้ง
2. เปลือกของลำต้น มีลักษณะเหมือนเยื่อไม้ นำมาทำกระดาษสีขาวได้คุณภาพดี ลำต้นใช้ทำเชื้อเพลิงได้ เมื่อไถกลบจะเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินได้ดี
3. ราก ใช้ทำแป้งเค้ก สปาเก็ตตี้ ในรากมีวิตามินบี 1 และธาตุอีกหลายชนิด แพทย์แนะนำให้ใช้รากทานตะวันประกอบอาหารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
4. น้ำมัน น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดจะให้ปริมาณน้ำมันสูงถึงร้อยละ 35 และได้น้ำมันที่มีคุณภาพสูง ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเช่น กรดลิโนเลอิค หรือกรดลิโนเลนิค สูงถึงร้อยละ 60-70 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยลดคลอเรสเตอรอลที่เป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ และยังประกอบด้วยไวตามิน เอ ดี อี และเค ซึ่งคุณภาพของไวตามินอีจะสูงกว่าในน้ำมันพืชอื่น ๆ เมื่อเก็บไว้เป็นเวลานานจะไม่เกิดกลิ่นหืน ทั้งยังทำให้สีกลิ่น และรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากใช้เป็นน้ำมันพืชแล้วยังนิยมใช้ในอุตสาหกรรม ทำเนยเทียม สี น้ำมันชักเงา สบู่ และน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์
5. กาก กาดที่ได้จากการสกัดน้ำมันออกแล้ว จะนำไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ได้ ในกากเมล็ดทานตะวันที่กะเทาะเปลือกและบีบน้ำมันออกแล้ว จะมีโปรตีนร้อยละ 42 และใช้เป็นแหล่งแคลเซียมสำหรับปศุสัตว์ได้ดีแต่จะมีปริมาณกรดอะมิโนอยู่เล็กน้อย และขาดไลซีน จึงต้องใช้อย่างรอบคอบ เมื่อจะเอาไปผสมเป็นอาหารสัตว์ที่มิใช่สัตว์เคี้ยวเอื้อง




วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคนิค 10 ในการเขียน Blog


เทคนิค 10 ข้อ ในการเขียน Blog
1. ให้คนอ่านได้รับรู้ถึงความคิดเห็นของคุณ คนทั่วไปชอบบล็อก เหตุผลก็คือ บล็อกนั้นถูกเขียนขึ้นโดยทั่วไป โดยไม่ใช่บริษัทหรืออะไร คนส่วนใหญ่อยากที่จะรู้ว่าคนอื่นมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร และถ้าจะพูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ เขาอยากรู้ว่าคุณ (เจ้าของบล็อก) นั้นคิดอย่างไร จงบอกพวกเขาว่าคุณคิดอย่างไร โดยใช้ความยาวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
2. หาลิงค์มาใส่เยอะๆ หาอะไรมาสนับสนุนไอเดียของคุณ เช่น เวบอื่นๆ ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเนื้อหาของบล็อกคุณ
3. เขียนให้สั้นเข้าไว้พยายามเล่าเรื่องให้มันสั้นๆเข้าไว้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีเวลาน้อย และก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ในแต่ละวัน เขียนเรื่องของคุณให้คนอ่านแว๊บเดียวจบ จะดีทีี่สุด!!
4. ความยาว 250 คำก็เพียงพอ โพสยาวๆนั้นเข้าถึงคนได้ยากและคนก็ลืมง่าย แต่โพสที่สั้นๆ นั้นจะให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม
5. ทำให้หัวข้อเรื่องมันติดตา จำง่าย ใส่ใจความสำคัญไว้ที่หัวเรื่อง (subject) ให้มีความกะทัดรัดและจำง่ายไม่คุณก็ลองดูตัวอย่างจากหนังสือพิมพ์ก็ได้ว่าเขาทำกันอย่างไร
6. ทำออกมาเป็นหัวข้อๆ ให้คนอ่านเราทุกคนชอบอ่านอะไรที่เป็นข้อๆอยู่แล้ว เพราะมันทำให้เนื้อหาของเรื่องที่อ่าน อยู่ใน format ที่อ่านได้ง่ายขึ้น
7. ทำให้โพสของคุณอ่านง่ายในทุกย่อหน้าของคุณ พยายามใส่หัวเรื่องย่อยลงไป และก็อย่าพยายามใช้หัวเรื่องที่ยาวเกินไป
8. พยายามคงเส้นคงวากับ Style การเขียนของคุณ คนส่วนใหญ่ชอบรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลังจากที่คนอ่านของคุณติดใจใน style คุณแล้วก็อย่าพยายามเปลี่ยนมัน
9. พยายามแทรก Keyword ไว้ในตัวโพสด้วยพยายามคิดถึงตัว Keyword ที่คนทั่วไป มักจะใช่ในการ search เข้ามาหาโพสของคุณ และพยายามใส่ Keyword เหล่านั้นลงในหัวข้อเรื่อง และตัวโพส อีกอย่างที่ต้องระวังคือ ต้องพยายามใส่ Keyword เหล่านั้นลงไปให้ดูเป็นธรรมชาติและต้องไม่ให้ดูเยอะเกินความจำเป็น
10. แก้เนื้อหาบ้าง หลังจากคุณเขียนโพสเสร็จแล้ว ก่อนที่คุณจะทำการกดปุ่ม submit ให้คุณลองย้อนกลับมาอ่านโพสของคุณอีกครั้ง และก็ตัดส่วนที่คุณคิดว่า ไม่จำเป็นออกไป หรืออะไรก็ตามที่ไม่น่าจะเอาไว้
(อ้างอิงจาก ProBlogger.net )
ที่มา : http://www.mcot.net/

ฆ่าไวรัส


ฆ่าไวรัสใน "แฟลช ไดร์ฟ"
ปัญหาติดไวรัส ในแฟลช ไดร์ฟ ขณะนี้มีกันมาก มีคำขอมาถึงวิธีแก้ปัญหา จัดการรวมทั้งฟอร์แมต (format) แฟลช ไดร์ฟ ให้สะอาด ปราศจากเชื้อทั้งหลายมารบกวน ทุกวันนี้ แฟลช ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์สำคัญ หลายคนมีพกติดตัว พอๆ กับการมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะความสะดวกในการใช้งานและความสามารถที่จัดเก็บข้อมูลได้มาก ท่ามกลางความสะดวก แฟลช ไดร์ฟ กลายเป็นตัวการทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์รู้สึกขยาด บ่อยครั้งแฟลช ไดร์ฟ เป็นตัวนำไวรัสมาเผยแพร่ เป็นของฟรีที่ไม่ต้องการเอาเสียเลย จึงต้องหาวิธีจัดการ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนช่วงปลายปี 2550 ไวรัสเหล่านี้ทำความเดือดร้อนให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไปทั่ว เพราะ โปรแกรมแอนตี้ไวรัสทั้งหลายอัพเกรดไม่ทัน หรือรู้ไม่เท่าทันไวรัสเหล่านี้ จนไม่สามารถใช้งานได้ อาการคือเวลาเสียบแฟลชไดร์ฟเข้าไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ จะเปิดแฟลชไดร์ฟได้ เปิดไฟล์ได้ ลากไฟล์ออกมาได้ (copy ไปไดร์วอื่น) แก้ไขงานในไฟล์ได้แต่เมื่อทำงานเสร็จจะสั่งบันทึกมันจะไม่ยอมบันทึก หรือจะลบไฟล์ ก็ไม่ยอมเหมือนกัน สั่งให้ Format ก็ไม่ทำอีก บอกแต่ว่า disk protect ทั้งที่ไม่เคยสั่งให้ protect ตรงไหน
ยิ่งตามเว็บไซต์ต่างๆ มีผู้รู้และใจดีต่างก็เผยแพร่แนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งต้องเข้าไปแก้ใน system ของ windows แต่ก็มีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่อัพเดทตลอด บางทีก็ไม่ได้ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอม ยิ่งนานวันเข้า ไวรัสยิ่งก๊อปไฟล์ ก๊อปตัวเองวิ่งเข้าไปในส่วนต่างๆ ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตามคำสั่งที่จะผ่านเข้าไปได้ เพื่อจัดการแก้ปัญหา ต้องจัดการ "ฆ่าไวรัส" มันให้สิ้นไป ด้วยการสั่ง Format เริ่มต้น ไปที่ start manu กดที่ run-พิมพ์ cmd กด ok เมื่อหน้าจอ dos ขึ้น พิมพ์ลงไปดังนี้
(กรณีที่ไดร์ฟแฟลชไดร์ฟคือไดร์ว F) พิมพ์ว่า Format F:/fs:Fat32 หลังจากนั้น เครื่องก็จะจัดการฟอร์แมตแฟลชไดร์ฟให้เรา แล้วเครื่องจะถามเกี่ยวกับ Label ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ถ้าไม่ก็กดผ่านไป เป็นอันว่าเสร็จ นำแฟลช ไดร์ฟกลับมาใช้งานได้ตามปกติ สิ่งที่พึงระวังคือ ผู้ใช้งาน แฟลช ไดร์ฟ ต้องมั่นอัพเดทโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ด้วยตนเอง จาก Google ค้นหา พบว่ามีเว็บไซต์ที่แนะนำเรื่องต่างๆ มีอยู่มาก และอย่าเพิ่งทิ้งแฟลช ไดร์ฟที่คิดว่าใช้งานไม่ได้ บางทีแค่ติดไวรัส แต่ยังขาดการกำจัดมันเท่านั้น เพียงฟอร์แมตก็กำจัดได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น พยายามปกป้องเครื่องคอมพิวเตอร์และแฟลช ไดร์ฟ ด้วยการไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น ถ้าจำเป็นก็ให้ขยันสแกนไวรัส โดยไม่ปล่อยให้มันลุกลาม และมีอาการหนักสำหรับโปรแกรมดาวน์โหลดจัดการไวรัสใน แฟลช ไดร์ฟ1.Ad-Aware SE Professional Build 1.06r12.RemoveIT Pro v4 - SE3.avast! Virus Cleaner Tool4.ClamWin Free Antivirus Version 0.93.15.Trend Micro Sysclean Package6.Cureit Scaner for Windowsเป็นโปรแกรมสำหรับฆ่าไวรัสใน FlashDrive , Remove Drive โดยโปรแกรมตรวจสอบการเสียบอุปกรณ์ Remove ต่างๆ เมื่อเจอจะฆ่าไวรัสให้ และมีการ Update ฐานข้อมูลเองเมื่อเจอไวรัสที่ไม่รู้จัก โดยการวิเคระห์จากไฟล์ Autorun.inf ที่เป็นสื่อที่ไวรัสใช้แพร่ระบาด..เพียงเท่านี้ ก็น่าจะจัดการความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นได้

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บางส่วนของภูกระดึง


















บรรยากาศที่ภูกรดึงใครๆๆก็อยากไป...........คุณว่าป่ะ















วุ้นนม




ส่วนผสมตัววุ้น






นมข้นหวาน 1 กระป๋อง






นมข้นจืด 2/3 ถ้วย






วุ้นผง 2 1/2 ช้อนชา






เกลือป่น 1/8 ช้อนชา




น้ำ 2 ถ้วย




วิธีทำตัววุ้น






1. ผสมนมข้นหวาน วุ้นผง น้ำ เกลือ คนเข้าด้วยกัน ตั้งไฟอ่อน เคี่ยวพอวุ้นละลาย ใส่นม ข้นจืด ตั้งไฟต่ออีกครั้ง คนให้เข้ากัน






2. เทใส่พิมพ์รูปแบบตามชอบ โดยใส่ขนาด 3/4 ของพิมพ์





ส่วนผสมหน้าวุ้นนมข้นหวาน




1 กระป๋อง น้ำหวานสีต่างๆ




2 ถ้วย นมข้นจืด 2/3 ถ้วย วุ้นผง 2 1/2 ช้อนชา






วิธีทำหน้าวุ้น






1. ผสมน้ำหวาน นมข้นหวาน วุ้นผงเข้าด้วยกัน ตั้งไฟพอเดือด ใส่นมข้นจืด คนให้ทั่วจนวุ้นละลาย






2. หยอดทับวุ้นชั้นแรกขณะอุ่นๆ อย่างเบามือ หยอดให้เต็มพิมพ์ ก่อนหยอดสังเกตว่าวุ้นชั้นแรกเริ่มตึงตัว แต่ยังไม่แข็ง






3. ทิ้งไว้ให้แข็งตัว แซะออกจากพิมพ์






http://food.mwake.com/file.php?f=46

http://www.koy_289@hotmail.com
นางสาวสุภาภรณ์ วีระปิด
รหัส 49010811289
สาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
http:/jatuphum@yayoo.com

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะนำตัวเอง


ชื่อ

นางสาวสุภาภรณ์ วีระปิด

รหัส

49010811289

สาขา

เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม

คณะ

สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
 

นางสาวสุภาภรณ์ วีระปิด 49010811289 ENV Copyright © 2009 Flower Garden is Designed by Ipietoon for Tadpole's Notez Flower Image by Dapino